จากผลการวิจับพบว่า เด็กไทย 1 ใน 3
ถูกสื่อโซเชี่ยลมีเดียดึงเวลาไปจากครอบครัว กว่า 50 เปอร์เซ็นต์ เสียเวลาตั้งแต่ตื่นนอน 6 - 8 ชม. ไปกับสื่อออนไลน์ ขณะที่อีก 40 เปอร์เซ็นต์
ยอมรับว่าอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีโทรศัพท์มือถือ
ซึ่งปัญหาดังกล่าวอาจจะไม่ได้เกิดขึ้นกับเด็กเท่านั้น เพราะจะสังเกตได้จากสังคมในปัจจุบันไม่ว่าจะช่วงวัยใดก็ตามต่างก็เสพติดสื่อออนไลน์อยู่ตลอดเวลาจนแทบจะไม่ต้องพูดจากัน
ทุกคนต่างเดินก้มหน้ากดสมาร์ทโฟน
ทำให้การมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนในสังคมลดน้อยลงไป
จึงไม่แปลกซักเท่าไหร่ที่ทำให้ผลวิจัยออกเป็นเช่นนี้ จากผลการวิจัยดังกล่าวสามารถจะแก้ปัญหาที่อาจจะรุนแรงมากยิ่งขึ้นในอนาคตได้โดยเริ่มจากครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญ
และต่อมาคือโรงเรียนซึ่งการจะให้โรงเรียนปรับการเรียนการสอน เพื่อเป็นแรงหนุนในการสร้างกิจกรรมทางเลือกให้กับนักเรียนนั้นก็เป็นสิ่งที่ควรทำให้นักเรียนมีการรับให้สอดคล้องกับสิ่งที่เด็กอยากเรียน และรักที่จะลงมือทำเอง ไม่ใช่เรียนลัดด้วยการลอกการบ้านลอกข้อสอบ
ไม่เช่นนั้นต่อไปประเทศไทยจะกลายเป็นประเทศตัดแปะ หรือ Copy and Paste ซึ่งข้าพเจ้ามีความเห็นด้วยอย่างยิ่ง

จะเห็นได้ว่า การใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กในปัจจุบันนั้นเป็นเหมือนดาบสองคม คือ มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ดังนั้นพ่อแม่จึงต้องทำความเข้าใจ และจะต้องทำหน้าที่เป็นเหมือนพี่เลี้ยงให้กับลูก
โดยสามารถสื่อสารพูดคุยกับลูก เพื่อเด็กจะได้รู้สึกว่ามีโอกาสใช้สื่อ
ไม่ได้ถูกห้าม ในขณะเดียวกันก็จะต้องหาทางแนะนำ สอนให้เด็กรู้จักวางแผนว่าจะใช้อย่างไร เพื่อจะไม่ให้เกิดปัญหาหรือรบกวนกิจกรรมอื่นๆ
ของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการบ้าน หรือทำงานต่อไปในอนาคต.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น