วันพฤหัสบดีที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ห่วงลอกการบ้านผ่านสื่อออนไลน์ นักวิชาการแนะปรับวิธีสอนเด็ก

               

                จากผลการวิจับพบว่า เด็กไทย 1 ใน 3 ถูกสื่อโซเชี่ยลมีเดียดึงเวลาไปจากครอบครัว กว่า 50 เปอร์เซ็นต์ เสียเวลาตั้งแต่ตื่นนอน 6 - 8 ชม. ไปกับสื่อออนไลน์ ขณะที่อีก 40 เปอร์เซ็นต์ ยอมรับว่าอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีโทรศัพท์มือถือ  ซึ่งปัญหาดังกล่าวอาจจะไม่ได้เกิดขึ้นกับเด็กเท่านั้น เพราะจะสังเกตได้จากสังคมในปัจจุบันไม่ว่าจะช่วงวัยใดก็ตามต่างก็เสพติดสื่อออนไลน์อยู่ตลอดเวลาจนแทบจะไม่ต้องพูดจากัน  ทุกคนต่างเดินก้มหน้ากดสมาร์ทโฟน  ทำให้การมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนในสังคมลดน้อยลงไป  จึงไม่แปลกซักเท่าไหร่ที่ทำให้ผลวิจัยออกเป็นเช่นนี้  จากผลการวิจัยดังกล่าวสามารถจะแก้ปัญหาที่อาจจะรุนแรงมากยิ่งขึ้นในอนาคตได้โดยเริ่มจากครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญ   และต่อมาคือโรงเรียนซึ่งการจะให้โรงเรียนปรับการเรียนการสอน  เพื่อเป็นแรงหนุนในการสร้างกิจกรรมทางเลือกให้กับนักเรียนนั้นก็เป็นสิ่งที่ควรทำให้นักเรียนมีการรับให้สอดคล้องกับสิ่งที่เด็กอยากเรียน  และรักที่จะลงมือทำเอง  ไม่ใช่เรียนลัดด้วยการลอกการบ้านลอกข้อสอบ ไม่เช่นนั้นต่อไปประเทศไทยจะกลายเป็นประเทศตัดแปะ หรือ Copy and Paste ซึ่งข้าพเจ้ามีความเห็นด้วยอย่างยิ่ง

             แต่จากปัญหาต่างๆ ที่เกิดจากสื่อออนไลน์  เช่น ปัญหาการลอกการบ้านเพื่อนผ่านสื่อออนไลน์ ซึ่งเป็นการเรียนรู้แบบไฮเทค   ลอกการบ้านผ่านไลน์   ผ่านสื่อโซเชี่ยลมีเดีย  ส่งผลให้เด็กเรียนได้แต่ไม่รู้เรื่อง เพราะไม่มีองค์ความรู้ หรือเด็กสมาธิสั้น ข้าพเจ้าคิดว่าปัญหาการลอกการบ้านของเด็กเกิดขึ้นมาก่อนหน้าที่สื่อออนไลน์จะเข้ามามีอิทธิพลกับเด็กนานแล้ว  การลอกการบ้านผ่านสื่ออนไลน์ก็เป็นแค่วิธีการใหม่ๆที่เกิดขึ้นตามยุคตามสมัย  ซึ่งการจะแก้ปัญหาควรจะแก้ที่ต้นเหตุมากกว่าซึ่งนั่นก็คือ ตัวผู้เรียน และกระบวนการวิธีการสอนหรือสั่งการบ้านของครูอาจารย์  เพราะถึงจะไม่มีสื่อออนไลน์ใช้เหมือนปัจจุบัน   ถ้าเด็กจะลอกงานอื่นๆโดยไม่ผ่านสื่อออนไลน์มาส่งอาจารย์ก็สามารถทำได้เช่นกัน เพียงแค่ในยุคสมัยนี้สื่อออนไลน์สามารถช่วยตอบสนองต่อความต้องการของเด็กเท่านั้น

            จะเห็นได้ว่า  การใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กในปัจจุบันนั้นเป็นเหมือนดาบสองคม คือ มีทั้งข้อดีและข้อเสีย  ดังนั้นพ่อแม่จึงต้องทำความเข้าใจ  และจะต้องทำหน้าที่เป็นเหมือนพี่เลี้ยงให้กับลูก โดยสามารถสื่อสารพูดคุยกับลูก เพื่อเด็กจะได้รู้สึกว่ามีโอกาสใช้สื่อ ไม่ได้ถูกห้าม ในขณะเดียวกันก็จะต้องหาทางแนะนำ สอนให้เด็กรู้จักวางแผนว่าจะใช้อย่างไร  เพื่อจะไม่ให้เกิดปัญหาหรือรบกวนกิจกรรมอื่นๆ ของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการบ้าน หรือทำงานต่อไปในอนาคต.


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น